2025.03.10

#Website

#SEO

วิธีทำ Keyword Research สำหรับ SEO ให้ติดหน้าแรก

Keyword Research คืออะไร?

Keyword Research หรือ การวิจัยคีย์เวิร์ด เป็นกระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำที่ผู้ใช้มักพิมพ์ลงใน Google หรือเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ เพื่อค้นหาข้อมูล
การเลือกใช้ คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม มีความสำคัญอย่างมากต่อ SEO (Search Engine Optimization) เพราะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถ ดึงดูดทราฟฟิกที่มีคุณภาพและตรงกลุ่มเป้าหมาย

ทำไม Keyword Research ถึงสำคัญต่อ SEO?

ช่วยให้เนื้อหาของคุณตรงกับความต้องการของผู้ใช้

เพิ่มโอกาสติดอันดับบน Google

ช่วยกำหนดกลยุทธ์ Content Marketing ได้แม่นยำขึ้น

ลดการแข่งขันและเพิ่มโอกาสในการทำอันดับได้ง่ายขึ้น

เพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า

ประเภทของ Keywords ใน SEO มีอะไรบ้าง?

 Short-Tail Keywords (คีย์เวิร์ดสั้น)

เป็นคำสั้น ๆ 1-2 คำ เช่น “SEO”, “เว็บไซต์”, “มือถือ” มีปริมาณการค้นหาสูง แต่คำเหล่านี้จะมีการแข่งขันสูงมาก มักไม่ชัดเจนว่า User ต้องการอะไรแน่ชัด

Long-Tail Keywords (คีย์เวิร์ดยาว)

คือวลีที่ยาวขึ้น จะมีคำประมาณ 3 คำขึ้นไป เช่น “วิธีทำ SEO ให้ติดหน้าแรก”, “เว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่น”การแข่งขันต่ำกว่า และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้สูงกว่า

LSI Keywords (Latent Semantic Indexing)

คำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลัก เช่น คีย์เวิร์ดหลักคือ “SEO”, LSI อาจเป็น “การทำอันดับบน Google”, “Backlink”, “Keyword Research”

จะช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหามากขึ้น

Branded Keywords (คีย์เวิร์ดที่มีแบรนด์)

เช่น “เว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นบริษัท อี-เบิร์ด (ไทยแลนด์)”, “iPhone 15 ราคา” ใช้สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเพิ่มการค้นหาที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของตน

Commercial & Transactional Keywords

คีย์เวิร์ดที่มีแนวโน้มว่าผู้ใช้กำลังจะซื้อ เช่น “ซื้อ iPhone 15 ราคาถูก”, “สมัครเรียน SEO Course” เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการ Conversion สูง

เทคนิคการเลือก Keyword สำหรับ SEO ให้ติดอันดับ Google

การเลือก Keyword ที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของ SEO (Search Engine Optimization) เพราะหากเลือกคีย์เวิร์ดที่ดี จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณ ติดอันดับสูงขึ้น, ได้รับทราฟฟิกที่ตรงเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการขาย

เลือกคีย์เวิร์ดที่มี “Search Intent” ตรงกับเป้าหมาย

ก่อนเลือกคีย์เวิร์ด ต้องเข้าใจ เจตนาของผู้ค้นหา (Search Intent) ซึ่งมี 4 ประเภทหลัก ๆ

Informational Keywords ผู้ใช้ต้องการหาข้อมูล เช่น SEO คืออะไร?, วิธีทำ SEO ให้เว็บติดหน้าแรก เป็นต้น

Navigational Keywords ผู้ใช้ต้องการไปยังเว็บไซต์เฉพาะ เช่น e-bird.co.th, Facebook login เป็นต้น

Commercial Investigation Keywords ผู้ใช้กำลังเปรียบเทียบสินค้า/บริการก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น เปรียบเทียบ iPhone 15 กับ Samsung S23, รีวิวกล้อง Sony A7IV ดีไหม

Transactional Keywords ผู้ใช้พร้อมซื้อ เช่น ทำเว็บไซต์ราคาถูก, สมัครเรียนคอร์ส SEO ออนไลน์

ถ้าทำเว็บไซต์ขายของ ให้เน้น “Transactional” หรือ “Commercial Investigation” เพราะมีโอกาสแปลงเป็นยอดขายได้มากที่สุด

เลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหา (Search Volume) ที่เหมาะสม

High Volume Keywords  มีการค้นหาสูง แต่ก็แข่งขันสูง เช่น “SEO”

Low Volume Keywords  มีค้นหาน้อย แต่คู่แข่งน้อย เช่น “เทคนิค SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก”

ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ ควรเริ่มจาก Long-Tail Keywords (คีย์เวิร์ดยาว) ที่แข่งขันต่ำก่อน แล้วถ้ามีเว็บไซต์ที่แข็งแกร่งแล้ว อาจใช้ Short-Tail Keywords เพื่อดึงทราฟฟิกมากขึ้น

วิเคราะห์ “Keyword Difficulty” (ความยากของคีย์เวิร์ด)

บางคีย์เวิร์ดอาจมีปริมาณการค้นหาสูง แต่ก็มีคู่แข่งที่แข็งแกร่ง

High Competition Keywords  ติดอันดับยาก เช่น “SEO”

Medium Competition Keywords  มีโอกาสทำอันดับได้ เช่น “เทคนิค SEO อัปเดตล่าสุด”

Low Competition Keywords  ติดอันดับง่าย เช่น “SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก”

ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ความยากของคีย์เวิร์ด เช่น
Ahrefs (KD – Keyword Difficulty)
SEMrush
Ubersuggest
Google Keyword Planner

ใช้ Long-Tail Keywords เพื่อเพิ่มโอกาสติดอันดับ

Long-Tail Keywords (คีย์เวิร์ดยาว) มีการแข่งขันต่ำ และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มซื้อสูง เช่น

Short-Tail: “ทำเว็บไซต์” (คู่แข่งสูง, ไม่เจาะจง)
Long-Tail: “ทำเว็บไซต์ญี่ปุ่นในประเทศไทย” (เจาะจง, โอกาสขายสูง)

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือเว็บไซต์ใหม่ ควรเริ่มจาก Long-Tail Keywords

ใช้ LSI Keywords และ Synonyms

LSI (Latent Semantic Indexing) Keywords คือ คีย์เวิร์ดที่มีความหมายใกล้เคียง ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บคุณดีขึ้น เช่น

ถ้าคีย์เวิร์ดหลักคือ “SEO”, LSI อาจเป็น “Search Engine Optimization”, “Google ranking”, “Backlinks” เป็นต้น

Synonyms (คำพ้องความหมาย) → Google ฉลาดขึ้น และเข้าใจคำที่มีความหมายเดียวกัน ใช้ LSI Keywords กระจายไปในเนื้อหาเพื่อช่วยทำอันดับ

วิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่ง

ใช้เครื่องมือ SEO เพื่อดูว่า คู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้าง เช่น
Ahrefs → “Organic Keywords”
SEMrush → “Keyword Gap Analysis”
Ubersuggest → “Keyword Ideas”

เลือกคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งใช้ แต่ยังมีช่องว่างที่คุณสามารถแทรกแซงได้ วิเคราะห์ เนื้อหาของคู่แข่งที่ติดอันดับ และปรับให้ดีกว่า

ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์ Keyword

แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
Google Keyword Planner ใช้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดฟรีจาก Google
Google Search Console ดูว่าคีย์เวิร์ดไหนทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ
Ubersuggest ใช้ได้ฟรีบางส่วน

แบบมีค่าใช้จ่าย (แต่มีประสิทธิภาพสูง)
Ahrefs ดีที่สุดสำหรับวิเคราะห์คีย์เวิร์ดคู่แข่ง
SEMrush ดีสำหรับวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและ SEO โดยรวม
Moz Keyword Explorer ดีสำหรับดูความยากของคีย์เวิร์ด

เลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search)

คนเริ่มใช้ Google ด้วย Voice Search มากขึ้น เช่น
คีย์เวิร์ดปกติ: “บริษัทรับทำเว็บไซต์ที่ไหนดี”
Voice Search: “ฉันควรหาบริษัทรับทำเว็บไซต์ที่ไหนดีที่สุด”

ใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นประโยคคำถาม เช่น เลือกบริษัททำเว็บไซต์ที่เหมาะกับฉัน หรือทำ FAQ Section ในบทความของคุณ

สรุป

เลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับ Search Intent ของผู้ใช้
วิเคราะห์ปริมาณการค้นหา (Search Volume) และความยาก (Keyword Difficulty)
ใช้ Long-Tail Keywords เพื่อลดการแข่งขันและเพิ่มโอกาสติดอันดับ
ใช้ LSI Keywords และ Synonyms เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหามากขึ้น
วิเคราะห์คีย์เวิร์ดของคู่แข่ง และนำมาปรับใช้
ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์คีย์เวิร์ด เช่น Ahrefs, SEMrush, Google Keyword Planner
พิจารณาคีย์เวิร์ดที่เหมาะกับ Voice Search

*ถ้าเลือกคีย์เวิร์ดได้ดี + ใช้เทคนิค SEO ถูกต้อง เว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสติดหน้าแรก Google ได้ง่ายขึ้น

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีการเลือกคำค้นหาสำหรับมาตรการ SEO

ทำไมกลยุทธ์ SEO ถึงมีความจำเป็น?